วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

L-carnitine




แอล-คาร์นิทีน เป็นชื่อของสารตัวหนึ่ง ที่ถูกสร้างขึ้นในร่างกายของเรานี่เองโดยสร้างขึ้นมาจากกรดอะมิโนสองตัวคือ ไลซีน (lysine) และเมไทโอนิน(methionine) ซึ่งแอล-คาร์นิทีนในร่างกายของคนเราถูกสร้างขึ้นไปใช้ในหน้าที่ต่าง ๆ หลายอย่าง ที่สามารถพูดในภาพรวมได้ว่า แอล-คาร์นิทีน ช่วยให้ร่างกายเปลี่ยนกรดไขมันไปเป็นพลังงานนั่นเอง ซึ่งพลังงานที่ได้มานี้ส่วนใหญ่ก็ถูกใช้สำหรับการทำงานของกล้ามเนื้อทั่วร่างกายเรานั่นเอง จากหน้าที่การทำงานพื้นฐานของสารชนิดนี้ทำให้สื่อโฆษณานำมาใช้เป็นประเด็นหลักในการสร้างโฆษณาให้เห็นว่าเมื่อกินเข้าไปแล้วคุณจะอยู่นิ่งไม่ได้ รู้สึกคึกคัก คล้ายกับว่าร่างกายมีพลังงานมากเกิน
แอล-คาร์นิทีน ถูกสร้างขึ้นภายในตับและไตและนำไปเก็บไว้ที่กล้ามเนื้อลายตัวอย่างเช่น กล้ามเนื้อตามแขน ขา ของเรานั่นเอง นอกจากนี้ยังถูกลำเลียงไปที่กล้ามเนื้อหัวใจ สมองและสเปิร์ม ซึ่งในส่วนของสเปิร์มนั้นจะทำให้เคลื่อนที่ได้อย่างเหมาะสม เพราะแอล-คาร์นิทีนจะไปเร่งให้ไมโทคอนเดรียเปลี่ยนไขมันมาเป็นพลังงาน สำหรับในอาหารจะพบสารแอล-คาร์นิทีนได้จากอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ เนื้อแดง นม ผลิตภัณฑ์จากนม ผลไม้ ได้แก่ พวกผลอะโวกาโด(Avocado) ธัญพืช ผักใบเขียว ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่วหมัก (tempeh)

คนที่รับประทานอาหารมังสะวิรัติอาจจะเกิดการขาดแอล-คาร์นิทีนได้ในบางครั้ง เนื่องจากแอล-คาร์นิทีน พบได้ในเนื้อสัตว์ นมและถั่วหมักหรือในผู้ป่วยบางรายที่มีปัญหาที่เกี่ยวกับการดูดซึมของระบบย่อยอาหาร รวมไปถึงในกรณีที่มีผู้ป่วยขาดแอล-คาร์นิทีน (ซึ่งพบน้อยมาก) ที่อาจเกิดจากความผิดปกติของยีนหรือตับ ไต หรือกินอาหารที่มีกรดอะมิโนไลซีนและเมไทโอนีนน้อย ก็จะมีอาการอ่อนล้าของกล้ามเนื้อ เจ็บหน้าอกเจ็บกล้ามเนื้อ แขนขาอ่อนแรง ความดันเลือดต่ำและอาจมีอาการมึนงงสับสนร่วมด้วย เป็นต้น
คาร์นิทีนที่นำมาใช้นั้นมีหลายลักษณะ เช่นผลิตภัณฑ์บรรจุเม็ดและสารน้ำ เป็นต้น โดยนำมาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมที่ออกมาใช้และรู้จักกันอย่างแพร่หลายนั้นมีอยู่สามรูปแบบ
- รูปแบบแรก คือ แอล-คาร์นิทีน(LC) เป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายและมีราคาถูกที่สุด
- รูปแบบที่สอง คือ แอล-อะซิทิลคาร์นิทีน [L-acetylcarnitine(LAC)] เป็นเพียงรูปแบบเดียวที่นำมาใช้ในการรักษาโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer) และโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับความผิดปกติทางสมอง
- รูปแบบสุดท้าย คือ แอล-โพรพิโอนิลคาร์นิทีน[L-propionylcarnitine(LPC)] ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษาอาการเจ็บหน้าอกและโรคที่เกี่ยวข้องกับหัวใจและใช้ได้ผลดีกับโรคที่เกี่ยวกับเส้นเลือดตามแขนขาอีกด้วย (peripheral vascular disease-PVD) ถ้าเรากินเข้าไปการดูดซึมของแอล-คาร์นิทีนจะเกิดขึ้นในลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ ส่วนแพทย์สามารถให้แอล-คาร์นิทีนกับผู้ป่วยได้ทั้งทางเส้นเลือดและโดยการกิน
สำหรับแอล-คาร์นิทีนนั้นมีข้อควรรู้ดังนี้ คือ
1.คาร์นิทีนทำให้แก่ช้าลง ในเหตุผลแรกนี้ก็ชวนให้เราหลงใหลใคร่อยากกินคาร์นิทีนกันแล้ว ที่คาร์นิทีนทำให้แก่ช้าลงก็เพราะเหตุผลที่ว่าเซลล์ในร่างกายทุก ๆเซลล์ไม่ว่าจะเป็นเซลล์สมอง เซลล์จากระบบภูมิคุ้มกัน เซลล์จากหัวใจหรือเซลล์จากที่อื่น ๆ ของร่างกายทั้งหมดจะทำงานได้ดีก็ต่อเมื่อได้รับพลังงานเพียงพอและเหมาะสมกับความต้องการของเซลล์แต่ละชนิดและคาร์นิทีนนี่เองทำให้เซลล์มีอายุยืนนานขึ้น
2. คาร์นิทีนทำให้ระดับไตรกลีเซอร์ไรด์(triglycerides)อยู่ในระดับต่ำและช่วยเพิ่มระดับคอเรสเตอรอลที่มีประโยชน์ (HDL-คอเรสเตอรอล) ในเลือด
3. คาร์นีทีนช่วยป้องกันโรคหัวใจโดยมีผลทำให้สุขภาพโดยรวมของหัวใจดีขึ้น และช่วยป้องกันการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวด้วย (1/3 ของสาเหตุที่ทำให้คนเป็นโรคหัวใจตาย)
4. คาร์นีทีน ช่วยให้น้ำหนักลดโดยเฉพาะการใช้ร่วมกับวิธีการที่เราลดอาหารจำพวกแป้งลงในอาหารแต่ละมื้อ
5. คาร์นีทีน ช่วยเพิ่มระดับพลังงานของร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติค่อยเป็นค่อยไป โดยไม่ทำให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บ หรือเกิดความเสียหายใด ๆ กับร่างกายเหมือนกับที่พบในสารสกัดจากพืชบางชนิด
6. คาร์นิทีนช่วยให้ความสามารถในการออกกำลังกายเพิ่มขึ้น มีความทนทานมากขึ้นและป้องกันเนื้อเยื่อไม่ให้เกิดความเสียหายอันเนื่องมาจากปริมาณออกซิเจนในเซลล์ไม่เพียงพอ
7. คาร์นิทีนและ อะซีทีล-แอล-คาร์นีทีน(Acetyl-L-carnitine) ทำให้การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น
8. อะซีทีล-แอล-คาร์นีทีนช่วยลดความเสียหายของเซลล์ประสาทอันเนื่องมาจากความเครียดและอาจมีส่วนช่วยในการป้องกันโรคอัลไซเมอร์ แต่ได้ผลเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอายุน้อย ทำให้อาการของโรคไม่เป็นไปมากกว่านี้
9. อะซีทีล-แอล-คาร์นีทีน มีผลต่อสุขภาพจิตในทางบวกและลดภาวะความเครียด
10. คาร์นิทีนช่วยในการทำงานของตับ ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมของคนเรา
จาก กล่องวางภาพ

คนดีพี่ขอโทษ



หนุ่มชายซึ่งแต่งงานกับหญิงสาวที่ตนรัก ผ่านไป 3 ปี แต่เขาก็ยังคงไม่มีบุตร เขามักจะพูดกับภรรยาของเขาว่า สักวันคนมีบุญคงได้มาเกิดเป็นลูกของเรา ภรรยาได้แต่พยักหน้ากับสามี เธอเป็นภรรยาที่น่ารักและแสนดีเสมอมา ชีวิตของทั้งคู่ดูราบรื่น หนุ่มเป็นคนทำงานเก่งได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งบ่อยครั้ง จนได้เป็นพนักงานดีเด่นของบริษัท ทำให้ใครๆ ต่างพากันชื่นชม

จนกระทั้งวันหนึ่ง ลูกสาวท่านประธานได้เข้ามาทำงานที่บริษัทเดียวกับหนุ่ม หนุ่มได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ฝึกงานให้กับเธอ นานวันความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เริ่มพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จนความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มเป็นที่สงสัยกับเหล่าขาเม้าส์ในบริษัท ทำให้หนุ่มเริ่มเป็นห่วงความรู้สึกของลูกท่านประทานเป็นอย่างมาก หนุ่มเริ่มอยากสร้างความสัมพันธ์ให้มากขึ้นกว่าเดิม แต่ติดที่เขามีภรรยาแล้ว

ด้วยความเห็นแก่ตัว หนุ่มเริ่มคิดถึงอนาคตแต่ลืมหน้าที่และความรักที่มีต่อภรรยาไปโดนสิ้นเชิง เขากับคิดถึงแต่แค่ ถ้าเขาได้เป็นลูกเขยท่านประทาน ทั้งหน้าที่การงาน ทั้งลาภยศ เงินทอง และความมีหน้ามีตาในสังคม เมื่อความเห็นแก่ตัวครอบงำมากขึ้น เขาจึงตัดสินใจว่า ก่อนสิ้นปีนี้ซึ่งอีกไม่กี่อาทิตย์ เขาจะบอกเลิกกับภรรยาของเขา เพื่อไปเริ่มชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิม

3 วันผ่านไป หลวงพี่ที่เคยอยู่ก้นกุฏิด้วยกันนั้น ก็มาเยี่ยมที่บ้าน เขาดีใจมาก
“หลวงพี่มีธุระแถวนี้เหรอครับ ถึงได้แวะมาเยี่ยมผมถึงบ้าน”
“เปล่าโยม อัตมาตั้งใจมาที่นี้เลย” เขาทำหน้างงๆ
“อาตมามาเตือนโยม ให้ผ่านปีหน้าไปก่อน โยมค่อยตัดสินใจเถอะนะโยม ไม่อย่างนั้น โยมจะเสียใจไปตลอดชีวิต” หลังหลวงพี่พูดจบ ก็ขอตัวกลับโดยทันที ทั้งเขาและภรรยาหันหน้ามองกัน แต่หนุ่มรู้ดีว่าคืออะไร

คำเตือนของหลวงพี่ ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น ความหลง ความเห็นแก่ตัวของเขาก็ยังดำเนินต่อไป ก่อนสิ้นปีเพียง 1 วัน หนุ่มตัดสินใจขอเลิกกับภรรยาและให้เหตุผลง่ายๆ ว่า เพื่ออนาคตที่ดีของเขาเอง ภรรยาของเขาได้แต่ฟังและนิ่งไป หนุ่มยกบ้านหลังนี้ให้กับภรรยา

วันรุ่งขึ้นหนุ่มรีบไปรับลูกสาวท่านประทานถึงบ้าน และพาไปเที่ยวอย่างมีความสุข เขาได้เล่าทุกเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับภรรยา และไม่ลืมที่จะบอกว่าเขาได้เลิกกับภรรยาแล้ว เขาได้บอกรักอย่างเต็มปาก ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี ดูเหมือนหนุ่มจะมีความสุขมากจนลืมอดีตภรรยาไป

หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน หนุ่มก็ประสบอุบัตติเหตุร้ายแรง เขาสลบไปถึงสองวัน เมื่อตื่นขึ้นมา เขาได้ค้นพบว่าตัวเองขาหัก และต้องตัดขาขวาทิ้ง เขาเสียใจมาก ลูกสาวท่านประธานมาเยี่ยมหนุ่มเกือบทุกวัน จนอาการของหนุ่มเริ่มดีขึ้นและแทบหายเป็นปกติ เพียงแต่เขาเป็นคนพิการไปแล้ว

แฟนสาวมาเยี่ยมเหมือนทุกวัน ทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งใจกับแฟนใหม่คนนี้มาก แต่แล้วแฟนสาวก็เริ่มเอ่ยขึ้นมา หนุ่มเราเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม ครอบครัวเราอีก เราปรึกษากับญาติๆ และคนในครอบครัวแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่เห็นด้วยที่เราจะคบกับหนุ่มต่อ หนุ่มนิ่งเงียบกับทุกถ้อยคำที่ได้ยิน แฟนสาวพูดได้ไม่กี่ประโยคก็เดินออกจากห้องไป หนุ่มน้ำตาซึมและเสียงของเขาที่เคยพูดกับภรรยาก็ดังขึ้นก้องหูของหนุ่มทันที

หลังจากที่หนุ่มออกจากโรงพยาบาล หนุ่มมุ่งตรงไปที่บ้านของภรรยา เธอเปิดประตูบ้านพร้อมกับแววตาที่เปลี่ยนไป เหมือนหนุ่มเป็นเพียงคนแปลกหน้าคนหนึ่ง หนุ่มรีบกล่าวขอโทษภรรยาทันที เขาพูดถึงสิ่งที่เขาทำผิดพลาดไป และอยากขอให้ภรรยาของเขาให้อภัยแก่เขา ภรรยาของเขาพูดเพียงประโยคสั้นๆ ว่า คำขอโทษคงไม่ช่วยให้ลูกของเราสองคนกลับคืนมา วันที่คุณออกจากบ้านไป ฉันวิ่งตามคุณแต่ฉันตกบันได ฉันปวดท้องมาก แล้วหมอก็บอกว่า ฉันแท้ง เธอปิดประตู และพูดเป็นเสียงดังๆ ขึ้นมาว่า เพื่ออนาคตที่ดีของฉัน คุณออกจากชีวิตฉันไปเถอะ หนุ่มน้ำตาไหลไม่หยุด พร้อมกับเสียใจกับสิ่งที่ตนเองได้ทำลงไป

ปัจจุบัน หนุ่มเป็นพระนักเทศน์ เรื่องบาปบุญคุณโทษแก่ญาติโยมทั่วไป และมักบอกกล่าวต่อเรื่องความรักว่า


จงใช้หลักความซื่อสัตย์ต่อคู่ครองของตน
อนาคตขึ้นอยู่กับปัจจุบันที่เราทำ
จงอย่าลังเลกับสิ่งที่ดีงาม
แต่จงลังเลกับสิ่งที่เป็นความชั่ว
และจงตัดกิเลสให้ได้
ก่อนที่ความชั่วจะกลับเข้ามายิ่งใหญ่ภายในจิตใจ...



6 วิธีทำให้ผู้ชายคลั่งไคล้คุณ



6 วิธีทำให้ผู้ชายคลั่งไคล้คุณ
ถ้า คุณไม่อยากให้ชีวิตคู่ต้องแตกร้าวด้วยการที่แฟนปันใจให้หญิงอื่น คุณก็ควรจะบริหารเสน่ห์ทางเพศของคุณอยู่เสมอ และวิธีต่อไปนี้จะช่วยให้ผู้ชายคลั่งไคล้คุณจนไม่อยากไปไหนไกลหูไกลตาอีกเลยhttp://www.numwan.com/lovelove

1. ทำให้เขารู้สึกบ่อยครั้งว่าคุณจะขาดเขาไม่ได้
การจะทำให้คู่ชีวิตรู้สึกมีความสุขและมีค่า ก็ต่อเมื่อคุณทำให้เขารู้สึกว่าคุณคือเทพธิดาแห่งความสุขของเขา ให้เขารู้สึกถึงความไว้วางใจและความเป็นเพื่อนสนิทที่รู้ใจ แต่ก็รู้คุณค่าและพร้อมที่จะทำอะไรที่แปลกๆด้วยกันเสมอ คุณต้องรุ้ถึงความต้องการของเขา เช่น เขาเป็นคนบ้างานจนยากที่จะละทิ้งงานได้ง่ายๆ หากใช่ ก็ใช้วิธีดึงเขาออกมาจากการหมกมุ่นกับงานด้วยการไปรับเขาจากที่ทำงานเสมอ ชวนเขาไปเที่ยวนอกบ้าน อาจจะไปรับประทานอาหารในบรรยากาศที่โรแมนติก ชวนพูดคุยด้วยเรื่องที่จะทำให้เกิดเสียงหัวเราะสนุกสนาน อธิบายให้เขาเห็นภาพชุดชั้นในที่คุณกำลังสวมใส่ยั่วเย้าให้เขามีจินตนาการ กับคุณ

2. ทำให้เขารู้สึกมีคุณค่าด้วยคำพูด
ในวันหนึ่งๆ คุณก็มีเรื่องต้องทำและรับผิดชอบมากมาย แต่ให้คุณเก็บไว้กับตัวคุณเอง การต่อว่าบ่นเรื่องนั้นเรื่องนี้ หรือวิจารณ์สิ่งต่างๆไม่ทำให้บรรยากาศคลายความตึงเครียดได้ จะดีกว่าถ้าคุณใช้คำพูดเพราะๆด้วยถ้อยคำที่ดูอ่อนหวาน มีเสน่ห์ ชื่นชม และคลุมเคลือเล็กน้อย เช่น "ดิฉันรู้สึกอยู่เสมอว่า คุณเป็นผู้ชายที่วิเศษจริงๆ" หรือ "เวลาที่คุณเปลือยกายแนบชิด ดิฉันรู้สึกว่า..." บอกเขาต่อไปว่าคุณจะรู้สึกอย่างไร หลังจากนั้นใช้คำคมเล็กๆน้อยๆเพื่อประกอบการพูดคุยยได้ในกรณีนี้

3. พาเขาไปสู่โลกแห่งความสุข
ทำชีวิตประจำวันให้มีความสุข ไม่มีผู้ชายคนไหนชอบพูดคุยเรื่องการจ่ายกับข้าวในแต่ละวัน ฉะนั้นแทนที่คุณจะคุยเรื่องการซื้อของ คุณควรพูดคุยถึงร้านอาหารที่บรรยากาศดีๆ เพลงไพเราะ ภาพยนตร์สนุกๆ หรือพูดบรรยายให้เขาจินตนาการถึงการสวมใส่เสื้อผ้าทันสมัยจนแทบสัมผัสได้ เขาควรจะได้รู้จักความสนุกสนาน มีชีวิตชีวา ไม่รู้เบื่อในตัวคุณ

4. การแข่งขันทำให้ผู้ชายมีชีวิตชีวา
กฎเดิมๆของผู้ชายก็คือ อะไรที่ผู้ชายอื่นชื่นชอบ ชื่นชมย่อมดีเสมอ เหมือนมีการแข่งขันกัน และถ้าเขาเป็นผู้ชนะก็จะนำมาซึ่งความภาคภูมิใจ ซึ่งในที่นี้รวมถึงผู้หญิงด้วย ฉะนั้นคุณก็ควรจะทำตัวให้มีเสน่ห์ในสายตาชายอื่นด้วย เพราะอย่างน้อยก็ให้แฟนคุณเห็นว่า คุณยังสวยและมีเสน่ห์เตะตาผู้ชายอื่น แต่แฟนคุณเท่านั้นที่ได้ครอบครองคุณ

5. เตรียมความพร้อม (ก่อนขึ้นเตียง)
คุณควรจะรู้ใจเขาว่าชอบให้คุณสวมชุดนอนแบบไหน เช่น สายเดี่ยวผ้าบางเบาที่ดูเซ็กซ๊และถอดง่าย คุณควรปล่อยให้เขาเป็นผู้ถอดชุดนอนให้คุณเอง แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ว่าหลังแต่งงานแล้วผู้หญิงมักปล่อยตัว ทั้งๆที่ก่อนแต่งงานเธอแต่งตัวสวยงามอยู่เสมอ ดังนั้นอย่าปล่อยตัวให้เป็นยายเพิ้งเฝ้าบ้าน จงทำให้เหมือนนางแบบที่มีเสน่ห์ทางเพศ ทำให้ผู้ชายหลงใหลเมื่อเธอทิ้งสายตายั่วเย้า คุณจึงควรใช้เสน่ห์ความเป็นหญิงของคุณปลุกเร้าอารมณ์เขา เช่น ส่งสายตาเซ็กซี่หรือยิ้มที่ยั่วยวน สิ่งเหล่านี้ไม่ยากที่คุณจะลงมือทำไม่ใช่เหรอ

6. ทำให้เขาประหลาดใจ
ไม่มีอะไรที่จะยั่วยวนผู้ชายได้เท่ากับความเป็นหญิง คุณควรปั่นอารมณ์เขาเล่นบ้าง เช่น "ดิฉันอยากไปว่ายน้ำกับคุณ เปลือยกายด้วยกันนะ" หรืออะไรก็ได้ที่ทำให้เขาตื่นเต้นประหลาดใจ

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2552

หญ้าฝรั่น


ครั้งหนึ่ง "สารคดี” เคยทำสารคดีพิเศษเรื่องเครื่องเทศจึงต้องไปหาชื้อเครื่องเทศนานาชนิดมาถ่ายรูป พอบอกความประสงค์ว่าต้องการหญ้าฝรั่น ๒ ขีด คนขายก็มองหน้า ย้อนถามว่าหญ้าฝรั่นบาท (๑๕ กรัม) ละ ๘๐๐ บาท จะเอาแน่หรือ ...นั่นเป็นครั้งแรกที่ "ซองคำถาม” ได้รู้ว่ามีหญ้าที่ราคาแพงเช่นนี้ด้วย

หญ้าฝรั่น ภาษาอังกฤษเรียก saffron เป็นชื่อสมุนไพรได้จากพันธุ์ไม้ Crocus sativus วงศ์ lridaceae เป็นพืชประเภทหัว ดอกสีม่วง ขึ้นในเมืองร้อน หญ้าฝรั่นได้มาจากเกสรตัวเมียของดอกไม้ชนิดนี้ โดย ๑ ดอกจะมีเกสรเพียง ๓ เส้นเท่านั้นกว่าจะได้หญ้าฝรั่นสักหนึ่งกำมือจึงเสียเวลามาก นอกจากนั้นการเก็บเกสรต้องรีบเก็บในวันเดียวเพราะดอกจะโรยหมด และต้องรีบนำมาคั่วแห้งทันที การได้มาซึ่งหญ้าฝรั่นต้องใช้แรงคนใช้เครื่องจักรช่วยไม่ได้ ประกอบกับต้องทำให้เสร็จในวันเดียวและต้นไม้ชนิดนี้ขึ้นเฉพาะพื้นที่ลาดเขาในไม่กี่แห่งทั่วโลก เท่าที่ทราบคือมีมากที่อินเดียและสเปน ด้วยเหตุนี้หญ้าฝรั่นจึงแพงมาก

หญ้าฝรั่นมีสีเหลืองอมแดง รสเผ็ดขมอมหวานและหอมโบราณใช้ทำยาหอม ยาชูกำลัง แก้ไข้ แก้สวิงสวาย บำรุงธาตุแก้ซางเด็ก เป็นยาบำรุงโลหิตและแก้เส้นกระตุก นอกจากนั้นยังเชื่อกันว่ามีสรรพคุณทำให้ผิวเปล่งปลั่ง อายุยืน แค่ฟังสรรพคุณก็เชื่อว่าหญ้าชนิดนี้แพงแน่



ชื่อวิทยาศาสตร์ : Crocus sativus L.
วงศ์ : Iridaceae
ชื่อสามัญ : Crocus / Saffron

ลักษณะทั่วไป : หญ้าฝรั่นเป็นพืชล้มลุก มีลำต้นใต้ดิน ซึ่งมีลักษณะเป็นหัวคล้ายหัวเผือก (Corm) ใบยาวแคบ ออกดอกในฤดูใบไม้ร่วง โดยก้านดอกจะแทงออกมาจากหัวใต้ดิน ลักษณะดอกมีรูปร่างคล้ายดอกบัว กลีบดอกเรียวยาวคล้ายรูปไข่ มีเกษรขนาดยาวโผล่พ้นเหนือดอก เกษรตัวเมียมีสีแดงเข้ม ดอกอยู่ได้นานประมาณ 2-3 สัปดาห์ การเก็บดอกหญ้าฝรั่นนั้น ควรเก็บเมื่อดอกเริ่มบาน ส่วนที่นำมาใช้คือเกษรตัวเมีย โดยเด็ดออกจากดอกแล้วเอามาทำให้แห้งโดยการย่างบนเตาถ่านเพื่อให้เสียน้ำ ซึ่งดอกหญ้าฝรั่น 100,000 ดอก จะให้เกษรตัวเมียที่แห้งหรือหญ้าฝรั่นประมาณ 1 กิโลกรัม หญ้าฝรั่นจึงมีราคาแพงมาก เท่าราคาทองคำเลยทีเดียว ประเทศไทยยังไม่มีการปลูกหญ้าฝรั่น ประเทศที่ปลูกหญ้าฝรั่นเพื่อส่งออกคือ สเปน เยอรมัน ฝรั่งเศล อิหร่าน อินเดีย
ประโยชน์ : ทางยา เป็นยาขับเหงื่อ ขับเสมหะ ขับระดู แก้อาการเกร็ง และระงับความเจ็บปวด ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี แก้อาการปวดท้องเพราะเลือดคั่งหลังจากการคลอดบุตร และใช้เป็นยาบำบัดโรคมะเร็ง เกษรตัวเมียที่แห้งแล้ว ใช้ประกอบอาหาร ใช้แต่งกลิ่นและสีของอาหาร เช่น ขนมหวาน ลูกกวาด เครื่องดื่มและเหล้า



หญ้าฝรั่น (Saffron) เครื่องเทศที่มีราคาแพงที่สุดในโลก เป็นพืชที่มีการใช้ตั้งแต่สมัยกรีกและโรมันโบราณ นิยมใช้ทั้งเพื่อย้อมผ้า เพื่อเป็นยา และใช้ในการครัว แ แหล่งผลิตหญ้าฝรั่นที่มีคุณภาพดีเลิศ คือ ประเทศอิหร่าน หญ้าฝรั่งเป็นเครื่องเทศที่ให้กลิ่นหอมและกลิ่นติดนาน ในการทำอาหารแต่ละครั้งไม่ต้องใช้มาก เพราะถ้าใช้มากก็จะฉุน (และแพง) ก่อนใช้ต้องแช่น้ำอุ่นก่อนสักพักเพื่อให้สีของหญ้าฝรั่นออกมา และนิยมใส่ในขั้นตอนสุดท้ายของการปรุง ด้วยความที่มันมีราคาสูง จึงนิยมใช้ในอาหารในโอกาสพิเศษ ๆ เพื่อการเฉลิมฉลอง ทั้งอาหารคาวและอาหารหวาน (เช่น พวกคัสตาร์ด เค้ก และ พุดดิ้ง) แต่ที่พบบ่อย ๆ ก็จะเป็นส่วนประกอบในการหุงข้าวพิเศษ ๆ เช่น ข้าว Pilaus ของอินเดีย หรือข้าวไปเอญ่า (Paella) ของสเปน หรือ ข้าว Risotto Milanese ของครัวอิตาเลียน สำหรับครัวฝรั่งเศสเองก็มีการใช้หญ้าฝรั่นเป็นส่วนผสมสำคัญในการทำ บุยยาแบส (Bouillabaisse) หรือซุปทะเลรวมมิตรแบบฝรั่งเศส

วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2552

วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2552